โรคลำต้นเน่าแดงและใบขีดแดง
เชื้อรา Colletotrichum falcatum
โรคลำต้นแดง และโรคเส้นใบแเดงนี้เกิดจากเชื้อสาเหตุเดียวกัน พบได้ในแหล่งปลูกอ้อยทั่วประเทศ และสร้างความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง บางพันธุ์เป็นโรคถึง 30% และพบอาการเส้นใบแดง 25% ถ้าแสดงอาการเส้นใบแดงจะไม่ทำความเสียหายมากนัก เพียงแต่ทำให้อ้อยเหี่ยวแห้งเร็วกว่าปกติ และมักพบเกิดกับใบแก่มากกว่าใบอ่อน การเป็นโรคทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง ปริมาณน้ำตาลลดลงด้วย อ้อยตอไม่สามารถเจริญต่อไปได้ พบการระบาดที่กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ กาญจนบุรี นครปฐม ประขวบคีรีขันธ์ ราชบุรี สุพรรณบุรี ขอนแก่น อุดรธานี ชลบุรี และระยอง และยังไม่พบว่าโรคนี้เข้าทำลายพืชอย่างอื่น |
อ้อยเป็นโรคในระยะที่กำลังเจริญเติบโตย่างปล้อง และระยะอ้อยแก่ เปลือกภายนอกลำต้นเป็นรอยแผลสีน้ำตาล ยอดเหลือง ปล้องเหี่ยวเน่า ทำให้อ้อยตายทั้งกอ ภายในลำอ้อยเน่าแดง มีรอยแต้มเล็ก ๆ สีขาว คั่นในรอยแผลเป็นระยะ ๆ ในลักษณะตั้งฉากกับความยาวลำ รอยแต้มขาวอาจไม่ปรากฏในอ้อยบางสายพันธุ์ แผนเน่าเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เมื่ออาการโรครุนแรง เนื้ออ้อยเน่าจะยุบเป็นโพรง มีเส้นใยเชื้อราสีเทาอ่อนเจริญฟูอยู่ภายในปล้อง ในสภาพอากาศชื้นเชื้อราจะเจริญจากภายในลำเน่าออกมาสู่ภายนอกลำอ้อย สร้างกลุ่มสปอร์เห็นเป็นเม็ดสีส้มบริเวณปุ่มรอบ ๆข้ออ้อย อ้อยเป็นโรคแสดงอาการใบเหลือง ยอดแห้ง กอตายในที่สุด โรคมักระบาดร่วมกับอาการเหี่ยว เรียกรวมกันว่า โรคเหี่ยวเน่าแดง ลำอ้อยเน่าช้ำสีน้ำตาลปนม่วง รากเน่าดำ อ้อยแห้งตาย |
เชื้อราสาเหตุโรคสามารถอยู่ในเศษซากอ้อย และในใบ้อยที่พบอยู่ในไร่อ้อย หรือบนเศษซากอ้อยที่เป็นโรค จึงสามารถแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้ โดยสปอร์สามารถกระจายไปกับลมและน้ำฝน |
1. ไถแปลงอ้อยตอที่เป็นโรครุนแรงทิ้ง คราดตออ้อยเกาออกจากพื้นที่ให้หมด 2. ปลูกพืชอื่นหมุนเวียนในพื้นที่โรคระบาด โดยหลีกเลี่ยงพืชอาศัยของโรค เช่น ข้าวฟ่าง 3. ตากดินนานเกินกว่า 3 เดือนก่อนปลูกอ้อยใหม่ ปรับปรุงดินกรดด้วยปูนขาว และเตรียมดินให้ระบายน้ำดี 4. ใช้พันธุ์อ้อยที่ต้านทานหรือต้านทานปานกลางปลูกในพื้นที่ซึ่งมีการระบาดของโรค 5. คัดเลือกท่อนพันธุ์อ้อยที่สมบูรณ์และไม่เป็นโรคนำมาปลูก 6. ก่อนปลูกอาจมีการแช่ท่อนพันธุ์อ้อยในสารเคมีกำจัดโรคพืช เบโนมิล 50% ดับบลิวพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไธโอฟาเนตเมธิล 70% ดับบลิวพี อัตรา 15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร นาน 30 นาทีก่อนปลูก และพ่นสารดังกล่าวบริเวณโคนกออ้อยเดือนละครั้ง ระหว่างที่อ้อยอายุ 1-5 เดือน ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ 7. ป้องกันกำจัดหนอนเจาะลำต้นอ้อย เพื่อไม่ให้เกิดช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ต้นอ้อย |
อู่ทอง 2 อู่ทอง 4 เค84-200 เค90-77 ฟิล63-17 |
โรคเน่าคออ้อย (แบคทีรีโอซีส)
ยอดอ้อยมีการหักพับลง ทำให้ใบอ้อยกลายเป็นสีเหลือง และสีน้ำตาล สามารถดึงให้หลุดออกจากกันได้ง่าย
เชื้อแบคทีเรีย Erwinia carotovora |
พบมีการระบาดและสร้างความเสียหายในประเทศไทยไม่มากนัก แต่มักมีการระบาดและสร้างความเสียในช่วงที่มีฝนตกชุก และมีความชื้นในอากาศสูง |
อาการเน่าปรากฏชัดเจนในระยะอ้อยย่างปล้อง อ้อยมีใบเหลือง ยอดแห้ง กอตายเป็นหย่อม ๆ ในไร่ ลำอ้อยจะเน่าจากยอดลุกลามลงไปในลำ ยอดที่เน่ามักหักพับบริเวณข้อใกล้ยอด ข้ออ้อยเปราะ ปล้องอ้อยหลุดจากกันได้ง่าย เนื้ออ้อยภายในลำเน่ามีลักษณะฉ่ำน้ำ มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว บางครั้งเน่าเละ ยุบเป็นโพรง เหลือส่วนท่อน้ำท่ออาหารเห็นเป็นเส้น ๆ ภายในปล้อง เมื่อตัดลำอ้อยตามขวางบริเวณโคนลำ จะเห็นวงสีแดงในเนื้ออ้อยใต้ผิวเปลือกโดยรอบลำ |
เชื้อสาเหตุโรคสามารถติดไปกับท่อนพันธุ์ที่นำไปปลูก และเชื้อสาเหตุโรคสามารถแพร่กระจายตัวไปพร้อมกับการพัดพาของสายลม และน้ำฝนที่ชะล้าง พบว่าโรคมีการระบาดและสร้างความเสียหายได้มากขึ้นเมื่อสภาพอากาศมีความชื้นสูง |
1. เตรียมดินให้มีการระบายน้ำดี ปรับดินให้มีความเป็นกลางด้วยปูนขาว และไถพลิกตากดิน 2. หลีกเลี่ยงการปลูกพันธุ์อ้อยที่อ่อนแอในแหล่งที่พบการระบาดของโรคอย่างรุนแรง 3. ตรวจไร่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบลำอ้อยเริ่มมีใบเหลืองยอดเหี่ยว ควรรีบตัดลำหรือขุดกอออกเผาทำลาย ก่อนที่เน่าและฉ่ำน้ำ ควรตัดหรือขุดกออ้อยในขณะที่อากาศแห้ง 4. อาจมีการฉีกพ่นกออ้อยด้วยสารปฏิชีวนะ Tessamycin + Streptomycin ช่วยลดการลุดลามของโรคได้ แต่อาจต้องใช้แรงงงานและค่าใช้จ่ายในปริมาณที่สูง 5. ตัดอ้อยแปลงที่เป็นโรคเข้าหีบทันทีเมื่อเข้าสู่ฤดูการหีบอ้อย และไม่ควรนำอ้อยจากแปลงที่เป็นโรคไปเป็นท่อนพันธุ์ต่อไป และหากพบว่าในไร่อ้อยมีกออ้อยที่ตายมากกว่า 20% ให้รื้อแปลงและปลูกใหม่ด้วยพันธุ์อ้อยที่ต้านทาน |
โรคเหี่ยว
เชื้อรา Cephalosporium sp. และ Fusarium subglutinans |
พบว่ามีความสำคัญและสร้างความเสียหายได้บ้างในแหล่งที่มีการปลูกแบบให้น้ำชลประทาน แต่ความเสียหายไม่มากนัก |
อาการปรากฏให้เห็นในระยะอ้อยอายุ 6-7 เดือน อ้อยมีใบเหลือง ปลายใบแห้ง ระบบรากเน่า เมื่อผ่าดูภายในลำ เนื้ออ้อยภายในลำส่วนบนลักษณะปกติ เนื้ออ้อยในส่วนโคนบางลำปกติ แต่บางลำเน่าแดงช้ำฉ่ำน้ำ หรือเน่าแดงแห้งแกรน หรือแห้งคล้ายขาดน้ำบริเวณโคนลำใต้ดิน ลำที่พบอาการเน่าภายในโคนลำ ยอดอ้อยจะเหี่ยว อาการเน่าลุกลามทั้งลำทำให้ลำแห้งตายในที่สุด ส่วนลำที่ภายในลำปกติและมีอาการเน่าเฉพาะส่วนราก ใบอ้อยจะเหลืองแต่ยอดไม่เหี่ยว เมื่อถึงปลายฤดูปลูก จึงพบอ้อยที่อาการเน่าลุกลามขึ้นไปด้านบนของลำ จะแห้งเหลืองตายเป็นหย่อม ๆ ในไร่ ส่วนกออ้อยที่มีเฉพาะอาการรากเน่าจะยังสามารถให้ผลผลิตได้ แต่จะไม่สมบูรณ์เท่าอ้อยที่เป็นปกติ |
เชื้อสาเหตุโรคสามารถพักตัวและติดอยู่ในเศษซากอ้อย หรือแพร่กระจายไปพร้อมกับท่อนพันธุ์อ้อย และเชื้อราสามารถสร้างส่วนขยายพันธุ์และปล่อยไปพร้อมกับฝนและลม |
1. ไถแปลงอ้อยที่เป็นโรครุนแรง หลังจากการตัดอ้อยเข้าหีบในช่วงปลายฤดู 2. ใช้พันธุ์อ้อยที่ต้านทานต่อโรค เลือกปลูกในพื้นที่ซึ่งพบการระบาดของโรค และหลีกเลี่ยงการปลูกอ้อยพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรค 3. ใช้ท่อนพันธุ์อ้อยที่มั่นใจว่าปลอดโรค และมีสุขภาพดี 4. ปลูกพืชหมุนเวียน ยกเว้นพืชที่อาจเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อต่อไปได้ เช่น ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่วเขียว 5. กำจัดวัชพืชที่อาจเป็นพืชอาศัยสลับของเชื้อโรค เช่น พง อ้อ หญ้าโขมงดอกเล็ก และหญ้าปากควาย 6. อาจราดโคนอ้อยด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เบโนมิล 50% ดับบลิวพี หรือ ไธอาเบนดาโซล 90% ดับบลิวพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ปริมาตร 300 มิลลิลิตรต่อกอ 7. ควบคุมหนอนเจาะลำต้นอ้อย เพื่อไม่ให้อ้อยเกิดแผลอันอาจเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่อ้อยได้ |
อู่ทอง 4, เค90-77 |
เค88-92, ฟิล66-07, เค93-318, อู่ทอง 3 |
โรคเหี่ยวเน่า
เกิดจากเชื้อรา Fusarium, Glomerella tucumanensis, Cephalosporium sp. |
สร้างความเสียหายให้แก่อ้อยไม่มากนัก แต่มักสร้างปัญหาในแหล่งทีมีการปลูกอ้อยและให้น้ำแบบชลประทาน |
อ้อยจะมีการเหี่ยวแบบเฉียบพลัน ยืนต้นแห้งตาย ใบและกาบใบ ลำต้น เป็นสีน้ำตาลแห้ง ภายในปล้องเน่าเละ เนื้ออ้อยช้ำมีสีน้ำตาลปนม่วง มีจุดสีแดงปะปนเล็กน้อยและกลวงเป็นจุด ๆ ภายในมีเชื้อราฟูสีขาวปนเทา |
เชื้อราสามารถอยู่ข้ามฤดูได้ในเศษซากพืชที่เป็นโรค ในสภาพที่มีอากาศชื้น เชื้อราสาเหตุโรคจะมีการสร้างส่วนขยายพันธุ์และปล่อยไปพร้อมกับลม หรือฝน |
1. หลีกเลี่ยงการปลูกพันธุ์อ้อยที่อ่อนแอ 2. หลีกเลี่ยงสภาพน้ำท่วมขังและการระบายน้ำไม่ดีในไร่อ้อย 3. ทำลายแหล่งของเชื้อในแปลงอ้อย |
โรคแส้ดำ
เชื้อรา Ustilago scitaminea Sydow. |
โรคแส้ดำนี้จัดว่าเป็นโรคที่สำคัญมากโรคหนึ่งของอ้อยในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะทำความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการปลูกอ้อยมาก คือทำความเสียหายปีละหลายร้อยล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขซึ่งได้จากการประเมินเมื่อมี พ.ศ. 2521 พบโรคนี้ระบาดมากในฤดูปลูก เมื่ออ้อยอายุประมาณ 3-6 เดือน ส่วนมาก เป็นกับอ้อยตอมากกว่าอ้อยปลูกใหม่ ทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงหรือเก็บเกี่ยวไม่ได้เลย คุณภาพเป็นกับอ้อยตอมากกว่าอ้อยปลูกใหม่ ทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงหรือเก็บเกี่ยวไม่ได้เลย คุณภาพลดลง ในพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคปริมาณน้ำตาบจะต่ำกว่าปกติ 10-28% น้ำหนักลดลง 70-75% อ้อยแห้งตายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต ทั้งนี้ความเสียหายจะมากหรือน้อยขึ้นกับ 1.ระยะการติดเชื้อ คือเชื้อติดมากับท่อนพันธุ์เดิม หรือได้รับเชื้อในภายหลัง 2.ประเภทของอ้อย คือ อ้อยปลูกใหม่หรืออ้อยตอ 3.อายุและการติดเชื้อ คือ ต้นฤดูหรือปลายฤดู 4.พันธุ์อ้อย |
อ้อยที่เป็นโรคจะแคระแกร็น แตกกอคล้ายตะไคร้ ใบแคบและเล็ก ลำผอมเรียวข้อสั้นเตี้ย ส่วยยอดสุดของหน่อหรือลำอ้อยเป็นโรค หรือยอดสุดของหน่ออ้อยที่งอกจากตาข้างของลำเป็นโรค มีลักษณะคล้ายแส้ยาวสีดำ ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อราสร้างสปอร์สีดำจำนวนมาก รวมกันแน่นอยู่ภายในเนื้อเยื่อผิวของใบยอดสุดที่ม้วนอยู่ ระยะแรกจะเห็นเยื่อบาง ๆ สีขาวหุ้มแส้ดำเอาไว้ จนเมื่อสปอร์มีจำนวนมากจะดันเยื่อที่หุ้มอยู่ให้หลุดออก เห็นผงสปอร์สีดำจำนวนมากปกคลุมส่วนของใบยอดที่ม้วนแน่นจนมีลักษณะเป็นก้านแข็งยาว แส้ดำที่ปรากฏอาจตั้งตรง หรือม้วนเป้นวง กออ้อยที่เป็นโรครุนแรง จะแคระแกร็น แตกกอมาก ลักษณะเป็นพุ่มเหมือนกอหญ้า ใบเล็กแคบ อ้อยไม่ย่างปล้อง ถ้าเป็นรุนแรงมาก อ้อยอาจแห้งตายทั้งกอได้ กอที่บางลำในกอเจริญเป็นลำ ลำอ้อยจะผอมลีบกว่าลำอ้อยปกติ อาการปรากฏรุนแรงในอ้อยตอมากกว่าอ้อยปลูก |
ลดพัดพาสปอร์แพร่ไปเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็มี ฝนและน้ำ หรือท่อนพันธุ์อาจได้รับเชื้อทางสัมผัสโดยตรง หรือจากสปอร์ที่มีอยู่ในดินก่อนที่จะปลูก |
|
อู่ทอง 2, อู่ทอง 4, เค 84-77, เค 90-77 |
เค 93-153 |
โรคโคนเน่า
เกิดจากเชื้อรา Marasmiellus sp. |
ทำให้อ้อยไม่เจริญเติบโต และตายได้ |
ต้นอ่อนจะมีการเน่าบริเวณโคนต้น และกาบใบระดับดินมีเส้นใยสีขาวของเชื้อรามองเห็นได้อย่างชัดเจน ในระยะต่อมาอาจจะมีเชื้อราชนิดอื่นมาขึ้นปะปนด้วย ต้นอ้อยที่เป็นโรคจะไม่มีการเจริญเติบโต ใบมีเหลืองส้มและใบล่างมีการแห้งตายเนื่องจากการขาดธาตุอาหาร หน่ออ้อยจะแห้งตายหรือตายทั้งต้น |
พบว่ามีการระบาดและสร้างความเสียหายเมื่อแปลงอ้อยมีความชื้นสะสมค่อนข้างสูง และมีการระบายอากาศไม่ได้ แดดส่องไม่ถึงโคน |
1. ปลูกอ้อยที่ต้านทานต่อโรค และหลีกเลี่ยงการปลูกอ้อยสายพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรค 2. ทำลายแหล่งของเชื้อโรคที่อยู่ภายในแปลงอ้อย |
โรคใบเหลือง
(ซ้าย) ไร่อ้อยที่พบแสดงอาการของโรคใบเหลือง (ขวา) มีการแตกหน่อสีขาวที่บริเวณโคนอ้อย
เชื้อไฟโตพลาสมา |
คาดว่าสาเหตุของโรคเข้าทำลายที่ระบบท่อน้ำท่ออาหาร แต่ลักษณะอาการของโรคคล้ายคลึงกับโรคใบขาวอ้อยและคล้ายกับอ้อยที่กำลังจะแก่ จึงไม่ได้ความสนใจมากนัก โรคนี้ทำความเสียหายมากกับอ้อยที่นิยมปลูกเป็นการค้าในแหล่งปลูกในภาคตะวันออก ภาคเหนือตอนล่าง ภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกอ้อยที่สำคัญ ในแปลงที่เป็นโรครุนแรงมากทำให้ไม่มีอ้อยตัดส่งโรงงานเลย |
อ้อยที่เป็นโรคจะแสดงอาการเหลืองที่เส้นกลางใบและแผ่นใบที่อยู่ติดกับเส้นกลางใบ และขยายตัวออกไปยังขอบใบและปลายใบ ต่อไปใบจะแห้งตาย สีของอาการแตกต่างออกไปตามพันธุ์อ้อย ทั้งนี้จะพบว่ามีสีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีส้ม อาการปรากฏชัดบนใบแก่ และใบกลางแก่ ไม่ค่อยพบบนใบอ่อน ใบจะแห้งตายไปเรื่อยๆ จากด้านล่างขึ้นสู่ยอด โรคนี้พบมากกับอ้อยอายุมากกว่า 4-6 เดือน อ้อยที่เป็นโรคชะงักการเจริญเติบโตการย่างปล้องมีน้อยลง ทำให้ใบยอดๆ เกิดซ้อนกันแน่นเป็นกระจุก หน่อที่แตกใหม่แสดงอาการใบขาวระบบรากเสื่อมโทรม อ้อยแคระแกร็น แตกกอมาก หน่อจะไม่โตหากเป็นโรคมากจะเกิดอาการแห้งตายทั้งกอ |
ติดไปกับท่อนพันธุ์ของอ้อยบางพันธุ์ เช่น พันธุ์แร็กนาร์ การแพร่ระบาดด้วยวิธีอื่นๆ ยังไม่มีรายงาน |
1.ไม่นำอ้อยจากไร่หรือจากแหล่งที่มีโรคระบาดไปทำพันธุ์ 2.คัดเลือกอ้อย หรือพันธุ์อ้อยที่ไม่แสดงอาการใบเหลือง หรือใบขาวไปทำพันธุ์ 3.เผาทำลายอ้อยที่เป็นโรค 4.กำจัดวัชพืชในไร่อ้อยซึ่งอาจจะเป็นพืชอาศัยของโรคนี้ ทั้งนี้เพราะพบวัชพืชที่แสดงอาการใบเหลืองในไร่อ้อยเสมอๆ |